มาถึงตอนนี้เรายังคงอยู่ภายในตัวปราสาทประธาน หรือที่เรียกว่า ห้องครรภคฤหะ ห้องที่เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพสำคัญของปราสาท ยังมีทับหลังที่น่าสนใจบริเวณกรอบประตูซึ่งเมื่อเทียบกับทับหลังที่ได้เจอก่อนหน้านี้ถือว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์กว่ามากครับ แม้ทับหลังบางชิ้นจะแสดงเรื่องราวเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ แต่ด้วยเหตุที่ต่างนิกายกับที่คนไทยนับถือเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้อาจไม่ค่อยรู้จักหรือคุ้นเคยในเรื่องราวมากนัก
เริ่มจากทับหลังบนกรอบประตูด้านตะวันออก ทับหลังชิ้นนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ค่อนข้างมาก มีร่องรอยเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รายละเอียดบนทับหลังถูกแบ่งเป็นสองส่วน มีภาพบุคคลอยู่ตรงกลาง ซึ่งก็คือ ภาพสลักของพระโพธิสัตว์ [-1-] พระนามว่า พระโพธิสัตว์ไตรโลกยวิชัย ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ดุร้ายในฝ่ายพุทธศานาลัทธิมหายานตันตระ มีลักษณะเฉพาะคือ มี 4 พักตร์ ( เห็นเพียง 3 พักตร์ ด้านหน้าและด้นข้าง ) มี 8 กร 2 กรอยู่ในลักษณะแสดงธรรม ส่วนพระหัตถ์ที่เหลือนั้นจับหนังช้างที่แผ่ออก เหตุก็เพื่อปัดป้องกิเลส สังเกตุหางช้างอยู่ด้านบน [-2-] หัวช้างและงวงอยู่ด้านล่าง [-3-] พระบาทเหยียบอยู่บนร่างของบุคคล คาดว่าเป็นพระศิวะและพระแม่อุมา [-4-] แถวด้านบนทั้ง 2 ข้างนั้นปรากฎรูปพระพุทธรูปทรงเครื่องข้างละ 5 องค์ [-5-]
ส่วนแถวด้านล่าง มีรูปชาย 2 คน ร่ายรำมือซ้ายถือกระดิ่งอยู่ในระดับอก มือขวาชูขึ้นถือวัชระ [-6-] ซึ่งทั้งสองสิ่งถือเป็นสิ่งของสำคัญในพิธีกรรมของพุทธศาสนานิกายตันตระ ( วัชระหมายถึง ปัญญากระดิ่งหมายถึง เมตตากรุณา) และถัดออกไปมีรูปนางโยคินีร่ายรำเช่นกันด้านละสี่องค์ [-7-] สังเกตุมือที่ยกขึ้นของแต่ละนางจะถือสิ่งของแตกต่างกัน เช่น ปลา ดอกไม้ ส่วนที่เหลือไม่สามารถระบุชนิดได้ ทั้งหมดเหยียบอยู่บนภาพบุคคลนอนโดยคาดว่าเป็นตัวแทนของซากศพ [-8-]
จากรายละเอียดของภาพสลัก อาจมีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งคือ พระโพธิสัตว์ที่เป็นที่เคารพในพุทธศาสนา เหตุใดจึงมีเหล่าเทพของศาสนาฮินดู เช่นพระศิวะ มาปรากฎ อีกทั้งถ้าข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับภาพสลักเป็นจริง พระองค์กลับถูกเหยียบย่ำ เหตุที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาเก่าแก่ที่ได้รับการนับถือมายาวนาน โดยอาศัยความเชื่อที่ว่าเทพเจ้าคือ ผู้เป็นใหญ่ เป็นผู้ควบุคุมความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง อีกทั้งยังบันดาลความสงบสุข แห่งแก่ปวงชนที่นับถือ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา และภายหลังมีการแบ่งแยกเป็นหลายนิกาย แต่ด้วยเหตุของการเผยแผ่และต้องการหาผู้มานับถือให้มากขึ้น แข่งขันกันในหลักคิดและความเชื่อ จึงมีการแสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธฺ์ของผู้ที่เป็นที่เคารพ แม้การจะไม่ใช่แก่นคำสอนและสิ่งที่พึงกระทำของศาสนาพุทธ ก็ตาม แต่ก็จะพบเห็นได้ในบางนิกาย
ทับหลังชิ้นต่อมาอยู่บนกรอบประตูทางทิศเหนือ ลวดลายสลักบนทับหลังชิ้นนี้ถือว่ามีสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาทับหลังทั้งหมดครับ ภาพสลักมีลักษณะคล้ายคลึงกับทับหลังข้างบน คือถูกแบ่งเป็นสองส่วนและมีภาพบุคคลขนาดใหญ่ อยู่ตรงกลาง จากลักษณะคาดว่าเป็นรูปสลัก พระวัชรสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ในลัทธิมหายานตันตระ [-1-] มีพระพักตร์สามหน้า หกกร สองกรอยู่ท่าปางสมาธิ หัตถ์ขวาล่างถือลูกประคำ หัตถ์ซ้ายล่างถือกระดิ่งที่มีด้ามเป็นวัชระ ส่วนพระหตถ์ด้านบนทั้งสองข้างถือดอกบัว ทางด้านซ้ายขวามีพระพุทธรูปในลักษณะเดียวกันด้านละสององค์ [-2-] เบื้องล่างตรงกลางเป็นรูปบุคคลทำท่าประโคมดนตรี มีนางโยคีนีร่ายรำทั้งสองด้าน ด้านละสี่นาง [-3-] โดยร่ายรำอยู่บนซากศพ (รูปบุคคลนอน) [-4-]
ภาพสลักสุดท้ายบริเวณทิศตะวันตก เป็นภาพของ พระพุทธองค์ทรงประทับยืนระหว่างต้นไม้สองต้น [-1-] (พระพักตร์และพระหัตถ์ได้สูญหายไปแล้ว ) รายรอบด้วยผู้ที่แสดงความเคารพนับถือชาย หญิง นั่งคุกเข่าทั้งสองด้าน บุคคลด้านขวาของพระองค์คนแรกถือระฆังที่มีขนาดใหญ่ [-2-] บุคคลอื่นถือเครื่องบูชา [-3-] โดยบางใบหน้าได้ถูกระเทาะออกใบ
ภาพสลักดังกล่าวยังไม่สามารถระบุเรื่องราว ในตอนพุทธประวัติได้ชัดเจน เนื่องจากยังมีการตีความ ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม มีความตอนหนึ่งในพุทธประวัติที่น่าสนใจ ซึ่งคงไม่อาจระบุชัดเจนว่ามีความเกี่ยวข้องกับภาพสลักนี้หรือไม่ เรื่องราวมีดังนี้ครับ
พระเจ้าพิมพิสาร เป็นพระราชาของกรุงราชคฤห์
เมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ
เป็นเมืองใหญ่และมีอำนาจที่สุดในบรรดาเหล่าเมืองใหญ่ในชมพูทวีป
พระเจ้าพิมพิสารได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรก ในสมัยที่พระมหาบุรุษเสด็จออกพรรษา
ในสมัยนั้นพระเจ้าพิมพิสาร
ทรงเป็นมหาอุปราช พระองค์ทรงพอพระทัยในบุคคลิกลักษณะของพระมหาบุรุษ
จึงทูลเชิญให้ครองราชสมบัติ แต่พระพระองค์ปฏิเสธ
และตรัสถึงความตั้งพระทัยที่จะออกผนวช พระเจ้าพิมพิสาร ทูลขอต่อพระองค์ว่า เมื่อได้ตรัสรู้แล้วขอให้เสด็จกลับมา
โปรดพระองค์เป็นคนแรกด้วย
พระเจ้าพิมพิสารได้เสด็จพร้อมประชาชนจำนวนมากไปเฝ้าพระองค์ยังสวนตาลหนุ่ม นอกราชวัง ที่ๆพระองค์ประทับ และได้ฟังธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารทรงบรรลุ เป็นพระโสดาบัน ประกาศพระองค์เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ทรงส่งเสริมพุทธศาสานาและทรงถวายสวนไผ่ที่เป็นอุทยานนอกเมืองให้เป็นที่ประทับและถือว่าสถานที่แห่งนี้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา เรียกว่า วัดเวฬุวัน ( การมาเหล่าชุมนุมกันของสงฆ์ 1,250 รูป ก็เกิดขึ้นที่วัดแห่งนี้ )
มาถึงตรงนี้ก็ถือว่าครบถ้วนสำหรับการชมทับหลังในตัวปราสาทด้านในครับ ตอนต่อไปจะนำชม ทับหลังและหน้าบัน ภายนอกตัวปราสาทประธานโดยรอบ เรื่องราวส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับมหากาพย์รามายณะ เรื่องราวที่ถูกกสลักบนแผ่นหิน มาเกือบพันปี ติดตามต่อไปครับ ...........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น